4/27/2553

หลักการออกเกรด

ผมจะพิจารณาตามงานที่มอบหมายให้ทำ ว่าทำครบหรือไม่  การมาเรียน และการทำข้อสอบ

ประเมินด้วยความยุติธรรม ตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้ ทุกประการ


อ. พินโย พรมเมือง

3/08/2553

Diary 8 สุดท้าย

นักศึกษาเล่าประสบการณ์ที่ได้ไปเที่ยวรอบจังหวัดกาฬสินธุ์ เมื่อวันพุธที่ 3 มีนาคม 2553

1/19/2553

Diary 7

นักศึกษาเขียน Diary 7 ได้ที่นี่ ให้ได้อย่างน้อย 3 ลักษณะ  เขียนออกมาให้มากที่สุด เป็น เรื่องเดียวกัน ไม่ควรแยกเขียนอย่างละลักษณะ


กล่าวคือ ผูกให้เป็นเรื่องเดียวกัน เป็น Paragraph ก่อนเขียนให้บรรยายก่อนว่า แต่ละตอนนี้เขียนในรูปแบบไหน

1/11/2553

Diary 6

เขียนเรื่องราวของตนเองในลักษณะ

Narration    คือ  การเขียนบรรยายที่ระบุเวลา สถานที่ เหตุการณ์ต่างๆ เช่น การเล่าประวัติของตนเอง ประวัติคนสำคัญ

Description คือ การเขียนบรรยายบอกคุณลักษณะของสิ่งของ บุคคล ที่ทำให้ผู้อื่นสามารถจินตนาการ เห็นภาพสิ่งที่บรรยายได้


งาน

ให้เขียนประวัติของตนเองในลักษณะ Narration และ บรรยายตนเองให้คนอื่นรู้ด้วยวิธี Description

12/23/2552

Diary 5

เขียนประวัติตนเองในรูปแบบ การเขียนย่อหน้าทั้งสี่ แบบ  คือ
topic sentence อยู่ย่อหน้าแรก, อยู่ตรงกลาง, อย่างท้าย, และ อยู่ต้นประโยค และ อยู่ท้ายประโยค


นักศึกษาเขียน ไดอะลี่ได้ที่นี่

12/22/2552

Diary 4

นักศึกษาเขียน Dary 4 ได้ที่นี่


12/16/2552

12/15/2552

Work 3

นักศึกษาเขียนบทความ Deductive และ Inductive


โดยอาศัย บทความเรื่อง Love in Buddhism

นักศึกษาวิธีการเขียน Deductive คือ เขียนแบบภาพรวมก่อน จากนั้นยกกรณีตัวอย่าง ดูวิธีการเขียนของผมได้ที่ http://pinayo-buddha.blogspot.com/2009/12/successful-way-of-great-men.html


ส่วนการเขียน Inductive คือ พูดถึงส่วนย่อย หรือ ยกตัวอย่างก่อน จากนั้นจึงกล่าวถึง ส่วนรวม หรือ บุคคลทีรู้จักโดยทั่วไป มีชื่อเสียง ดูตัวอย่างบทความของอาจารย์ได้ที่

http://pinayo-buddha.blogspot.com/2009/12/always-be-humble-man.html


ตั้งใจนะ

Diary 3

นักศึกษาเขียนเรื่องทั่วไป

ในสไตล์ที่อยากเขียน 

ฝึกเขียนออกมาให้ได้

12/08/2552

Diary 2

Alll students of my subject write your diary 2 here. Don't be lazy to do it. You should finish it by week per week.

นักศึกษาเขียนไดอะลี่ครั้งที่ สองได้ที่นี่ อย่าขี้เกียจ นะ เป็นดินพอกหางหมู

อ. พินโย พรมเมือง

12/02/2552

Unit 1 การย่อความ

จุดประสงค์
นักศึกษาสามารถสรุปบทความจากเรื่องที่อ่านได้

ก่อนอื่นนักศึกษาต้องสำรวจข้อเขียนนั้นอย่างคร่าว ๆ เสียก่อน ศึกษาข้อเขียนนั้น ๆ โดยภาพรวม พิจารณาว่าอะไรคือประเด็นความคิดสำคัญของเรื่อง โดยแยกข้อเท็จจริงกับข้อคิดเห็นในเรื่องที่อ่านออกจากกัน และแยกระหว่างข้อคิดเห็นของเรากับสิ่งที่ได้จากการอ่าน

จากนั้นทำการบันทึกหัวข้อสำคัญ ๆ จากการอ่านมาวางเป็นเค้าโครงของเรื่องนั้นโดยที่เค้าโครงนี้มีโครงสร้างเช่นเดียวกับข้อเขียนที่เราอ่าน แต่ละหัวข้ออาจใช้ตัวเลข หรือตัวอักษรในการเรียงลำดับ และการจัดหมวดหมู่ของหัวข้อย่อยต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจง่าย นอกจากนี้การบันทึกที่เป็นลักษณะของโครงเรื่อง (Outline notes) นี้ยังเป็นประโยชน์หากเราต้องการเขียนสรุปความจากประเด็นสำคัญต่าง ๆ ที่ได้จากการอ่านด้วยการใช้ภาษาของตัวเอง อาจจะทำเป็นในรูปของ Mind map ก็ได้ จากนั้น เขียนจากโครงร่างของเราในรูปแบบที่เป็นภาษาของเรา

งานครั้งที่ 2
นักศึกษาเข้าไปอ่านบทความ ตั้งชื่อเรื่อง และสรุปบทความโดยใช้ภาษาของนักศึกษาให้มากที่สุด

1. ตั้งชื่อเรื่อง
2. สรุปความ

อ่านแปลมาล่วงหน้าแล้วจะพามาเขียนในห้องเรียน

Written by PK Lom on 27/09/2006


Buddhism strongly advises Buddhists to practise and spread Brahma-vihara. This is known in English as the ‘Sublime Abodes’. The first of it is ‘Love’. Nevertheless the word love is rather ambiguous and has the surfaced meaning. Therefore Buddhism applies the word metta instead. Although both love and metta may have the similar expression, metta means “True love” or “Pure love” without the sensual connection. Metta is translated into English in such various facts as ‘friendliness, loving-kindness, benevolence, goodwill, universal love and true love.’ All of these words all human beings and animals without discrimination and conditions, regardless of race, faiths, and nationalities.




It should be noted here whilst speaking of ‘love’ in connection to metta, you must not be addled and get it wrong as physical attraction between a man and a woman when both fall in love. When a man and a woman fall in love their love is quite related to carnal appetites. And neither should you confuse it with any sort of a so-called love that is based on longing or craving for sense-pleasure and affection.



It is noticeable that this kind of love is ambiguous and it amounts to lustful desires and pressure with the sense. That is why when there is no physical attraction left between people who used to fall in love or there is no love lost between them (a husband and a wife or lovers) sadly they can turn out to hate one another. It is many a time we can see this problem.



According to the Majjihimanikay, one of the five collections of the Buddha’s teaching in Pali, the Buddha compared sense-pleasures to ‘a skeleton uneatable to a dog; a lump of flesh that causes quarrels amongst the hungry vultures; a handful of blazing grass that falls into a pit of burning embers; like a man gets fruits at the top of the tree while it is being cut down…’ Furthermore, love with means of sense-pleasures has the characteristic of selfish and self-centredness, i.e. craving and grasping for one’s own self. That’s all.

นักศึกษาทางานส่งที่นี่

12/01/2552

Diary 1

นักศึกษาเขียน Diary เป็นภาษาอังกฤษได้ที่นี่ ขอให้ตั้งใจเรียนจะได้เก่ง และ มีอนาคตที่สดใส คนที่ตั้งใจเรียนทำอะไรก็สำเร็จ ขอให้ประสบผลสำเร็จทุกอย่าง

การเขียนแต่ละครั้งให้ลงชื่อด้วยนะครับ หากจะลงรูปให้สมัคร ผู้ติดตามก่อน จึงจะมีรูปปรากฎ